Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    A Bun In The Oven
    • Home
    • ข่าวสารล่าสุด
    • วันหยุด
    • การท่องเที่ยว
    A Bun In The Oven
    สุขภาพ

    อันตรายจากการเพิกเฉยต่อสิ่งแปลกปลอมที่ฝังอยู่ใน ผิว หนัง

    adminBy adminAugust 29, 2025No Comments2 Mins Read

    ผิว หนังเป็นด่านแรกในการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรค สารพิษ และสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ แต่ในชีวิตประจำวัน เราอาจเผชิญเหตุการณ์ที่ทำให้มีสิ่งแปลกปลอมเล็ก ๆ ฝังเข้าไปใน ผิว เช่น เศษไม้ เสี้ยนโลหะ เศษแก้ว เศษพลาสติก หรือแม้แต่ขนสัตว์บางชนิด หลายครั้งคนมักคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ปล่อยไว้เดี๋ยวก็หายเอง แต่ในความเป็นจริง การเพิกเฉยต่อสิ่งแปลกปลอมในผิวหนังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้


    ประเภทของสิ่งแปลกปลอมที่พบบ่อย

    สิ่งแปลกปลอมที่สามารถฝังในผิวหนังมีหลายรูปแบบ แต่ที่พบได้ทั่วไป ได้แก่:

    1. เศษไม้หรือเสี้ยนไม้ – เกิดจากการสัมผัสวัสดุไม้โดยไม่มีการป้องกัน
    2. เศษแก้ว – มักเกิดจากอุบัติเหตุในบ้านหรือการแตกของขวดแก้ว
    3. เศษโลหะหรือเสี้ยนเหล็ก – มักพบในผู้ที่ทำงานช่างหรืองานก่อสร้าง
    4. หนามพืชหรือก้างปลา – เกิดจากการทำสวนหรือรับประทานอาหารโดยไม่ระวัง
    5. พลาสติกหรือวัสดุสังเคราะห์ – แม้จะไม่ย่อยสลายในร่างกาย แต่ก็ทำให้เกิดการอักเสบได้
    6. ขนสัตว์หรือหนามแมลง – เช่น ขนเม่น ขนหมู หรือเหล็กในแมลง

    อันตรายจากการเพิกเฉย

    การปล่อยสิ่งแปลกปลอมให้อยู่ในผิวหนังโดยไม่เอาออกอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งเล็กน้อยและรุนแรง ดังนี้:

    1. การอักเสบเฉพาะที่

    สิ่งแปลกปลอมทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายจะตอบสนองด้วยการเกิดอาการบวม แดง ร้อน และเจ็บ หากปล่อยทิ้งไว้นานอาจพัฒนาเป็นแผลอักเสบเรื้อรัง

    2. การติดเชื้อ

    สิ่งแปลกปลอม เช่น ไม้หรือโลหะ มักมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ หากไม่ถูกเอาออก เชื้อแบคทีเรียสามารถเจริญเติบโตและทำให้เกิดการติดเชื้อได้ อาการที่บ่งชี้การติดเชื้อ ได้แก่ หนอง เจ็บมากขึ้น แผลขยายกว้าง หรือมีไข้ร่วมด้วย

    3. การก่อตัวของฝี (Abscess)

    หากร่างกายไม่สามารถขับสิ่งแปลกปลอมออกมาได้ จะสร้างผนังเนื้อเยื่อห่อหุ้ม ทำให้เกิดเป็นก้อนฝีที่มีหนองสะสมภายใน จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการเจาะระบายหนองหรือผ่าตัดเอาออก

    4. การแพร่กระจายของเชื้อ

    หากเชื้อโรคจากสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่กระแสเลือด อาจทำให้เกิด ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งเป็นภาวะอันตรายถึงชีวิต มีอาการไข้สูง หนาวสั่น หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตตก

    5. การบาดเจ็บต่อเส้นประสาทหรือเส้นเลือด

    บางครั้งสิ่งแปลกปลอมฝังลึก อาจไปกดทับหรือบาดเส้นประสาทและเส้นเลือด ทำให้เกิดอาการชา ปวดร้าว เลือดออกไม่หยุด หรือเกิดความเสียหายถาวรต่อระบบประสาทส่วนปลาย

    6. การเกิดแผลเป็นหรือพังผืด

    หากสิ่งแปลกปลอมค้างอยู่เป็นเวลานาน แม้จะไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง แต่ร่างกายจะพยายามสร้างพังผืดห่อหุ้ม ทำให้เกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนังหรือรอยแผลเป็นถาวร


    สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

    หากมีสิ่งแปลกปลอมฝังอยู่ในผิวหนังแล้วพบอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์:

    • มีอาการปวดบวมมากขึ้นเรื่อย ๆ
    • มีหนองหรือของเหลวไหลออกจากแผล
    • มีไข้หรือหนาวสั่นร่วมด้วย
    • ไม่สามารถขยับนิ้วหรืออวัยวะใกล้เคียงได้ตามปกติ
    • เลือดออกไม่หยุด
    • สิ่งแปลกปลอมมีขนาดใหญ่ ลึก หรืออยู่ในตำแหน่งที่อันตราย เช่น ใกล้ตา ใบหน้า หรือข้อสำคัญ

    การปฐมพยาบาลเบื้องต้น

    หากพบว่ามีสิ่งแปลกปลอมขนาดเล็กติดอยู่ในผิว เช่น เสี้ยนเล็ก ๆ สามารถดูแลเบื้องต้นได้ดังนี้:

    1. ล้างมือให้สะอาด ก่อนสัมผัสแผล
    2. ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดหรือสบู่อ่อน เพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อโรค
    3. ใช้แหนบที่ผ่านการฆ่าเชื้อ (เช่น เช็ดด้วยแอลกอฮอล์) คีบสิ่งแปลกปลอมออกอย่างระมัดระวัง
    4. หากเศษฝังลึก ไม่ควรพยายามขุดหรือกรีดเอง เพราะอาจทำให้บาดเจ็บมากขึ้น ควรไปพบแพทย์
    5. หลังนำออกแล้ว ล้างแผลอีกครั้งและปิดด้วยผ้าก๊อซสะอาด
    6. สังเกตอาการต่อเนื่อง หากมีอาการผิดปกติควรไปโรงพยาบาลทันที

    การรักษาโดยแพทย์

    ในกรณีที่สิ่งแปลกปลอมฝังลึกหรือไม่สามารถนำออกเองได้ จำเป็นต้องให้แพทย์ทำการรักษา โดยมีขั้นตอน เช่น:

    • การใช้เครื่องมือปลอดเชื้อเพื่อคีบหรือกรีดเอาออก
    • การฉีดยาชาเฉพาะที่เพื่อลดความเจ็บปวด
    • การตรวจภาพรังสี (X-ray หรือ Ultrasound) หากไม่แน่ใจตำแหน่ง
    • การให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
    • การฉีดวัคซีนบาดทะยักหากแผลมีความเสี่ยง

    การป้องกัน

    เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดสิ่งแปลกปลอมฝังในผิวหนัง ควรปฏิบัติดังนี้:

    • ใส่อุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถุงมือ รองเท้านิรภัย หรือแว่นตาเมื่อต้องทำงานที่เสี่ยง
    • ใช้เครื่องมืออย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะงานช่าง งานก่อสร้าง หรืองานสวน
    • รักษาความสะอาดในพื้นที่ทำงานและบ้าน เพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุจากเศษแก้วหรือวัสดุแตกหัก
    • สอนเด็กให้ระวังของมีคม และไม่ควรเดินเท้าเปล่าในพื้นที่เสี่ยง

    การรักษาที่เหมาะสมเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมฝังอยู่ในผิวหนัง

    เมื่อพบว่ามีสิ่งแปลกปลอมฝังในผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นเสี้ยน ไม้ เศษแก้ว หรือโลหะเล็ก ๆ ควรปฏิบัติตามแนวทางการดูแลอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ดังนี้:

    1. การล้างมือและทำความสะอาดพื้นที่
      ก่อนสัมผัสแผล ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาด รวมถึงใช้อุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อ เช่น แหนบหรือเข็มที่เช็ดด้วยแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่แผลเพิ่มเติม
    2. การกำจัดสิ่งแปลกปลอม
      • หากสิ่งแปลกปลอมมองเห็นชัดเจนและสามารถเข้าถึงได้ ควรใช้แหนบปลอดเชื้อดึงออกอย่างระมัดระวัง
      • หากฝังลึก ไม่ควรพยายามขุดหรือกด เพราะอาจทำให้แผลลึกขึ้นและเพิ่มโอกาสติดเชื้อ ควรไปพบแพทย์เพื่อเอาออกอย่างถูกวิธี
    3. การทำความสะอาดแผลหลังการกำจัดสิ่งแปลกปลอม
      ล้างแผลด้วยน้ำเกลือสะอาดหรือน้ำสะอาดไหลผ่าน หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาที่แรงเกินไปซึ่งอาจทำลายเนื้อเยื่อ เช่น แอลกอฮอล์เข้มข้นโดยตรง
    4. การปิดแผลและการดูแลต่อเนื่อง
      ปิดด้วยผ้าก๊อซปลอดเชื้อเพื่อป้องกันฝุ่นและเชื้อโรค ควรเปลี่ยนผ้าปิดแผลทุกวัน และสังเกตอาการบวม แดง หรือมีหนอง
    5. การใช้ยาหรือการรักษาเพิ่มเติม
      แพทย์อาจสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะในกรณีที่แผลมีการติดเชื้อ หรือยาต้านบาดทะยักหากสิ่งแปลกปลอมที่ฝังอยู่มีความเสี่ยง เช่น เศษโลหะสนิม

    สัญญาณอันตรายที่ควรไปพบแพทย์ทันที

    การเพิกเฉยต่อสิ่งแปลกปลอมที่ฝังอยู่ในผิวหนังอาจทำให้เกิดอันตรายรุนแรง หากพบอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที:

    • มี อาการบวม แดง ร้อน และเจ็บมากขึ้น รอบแผล
    • มี หนองหรือของเหลวขุ่น ไหลออกจากบาดแผล
    • มี ไข้ หนาวสั่น หรืออ่อนเพลียผิดปกติ
    • แผลไม่หายหรืออาการแย่ลงแม้ผ่านไปหลายวัน
    • มี สิ่งแปลกปลอมฝังลึก อยู่ใกล้เส้นประสาท เส้นเลือดใหญ่ หรือข้อต่อ
    • มีประวัติ ไม่เคยฉีดวัคซีนบาดทะยัก หรือฉีดเกิน 10 ปีแล้ว

    กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

    • เด็กเล็ก ที่มักเล่นกลางแจ้งและมีโอกาสได้รับเสี้ยนหรือเศษแก้วบาด
    • ผู้สูงอายุ ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ แผลหายช้า
    • ผู้ป่วยเบาหวาน ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการหายของแผลที่ยากขึ้น
    • ผู้ที่มีโรคเรื้อรังหรือใช้ยากดภูมิ ซึ่งทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ไม่เต็มที่

    การป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมฝังในผิวหนัง

    1. สวมรองเท้าและถุงมือขณะทำงานกลางแจ้ง เพื่อป้องกันเศษไม้ เศษโลหะ หรือหนามพืช
    2. ตรวจสอบพื้นที่ก่อนใช้งาน เช่น สนามหญ้า พื้นไม้ หรือพื้นที่ก่อสร้างที่อาจมีเศษวัสดุอันตราย
    3. สอนเด็กให้ระมัดระวัง ไม่ควรเล่นในพื้นที่ที่มีเศษแก้วหรือวัตถุมีคม
    4. ดูแลสุขอนามัยของผิวหนัง หากมีบาดแผล ควรปิดป้องกันเพื่อไม่ให้สิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย

    กรณีตัวอย่างเพื่อเตือนใจ

    1. เด็กเล็กกับเสี้ยนไม้
      เด็กชายวัย 6 ปีเล่นในสนามเด็กเล่นที่ทำจากไม้เก่า ระหว่างเล่นเกิดเสี้ยนไม้เล็ก ๆ แทงเข้าที่ฝ่ามือ พ่อแม่คิดว่าไม่เป็นอันตรายเพราะแผลเล็กมาก จึงไม่ได้ดึงออกและปล่อยไว้ ผ่านไป 3 วันมือเริ่มบวม แดง และมีหนอง เมื่อไปพบแพทย์พบว่าเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ต้องได้รับการผ่าตัดเล็กเพื่อนำเสี้ยนและหนองออก รวมถึงใช้ยาปฏิชีวนะหลายวัน บทเรียน: แม้เสี้ยนไม้เล็ก ๆ ก็ไม่ควรละเลย เพราะอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้
    2. ผู้ใหญ่กับเศษแก้ว
      ชายวัย 40 ปีเหยียบเศษแก้วเล็ก ๆ ระหว่างเดินเท้าเปล่า แม้มีแผลเล็กและเจ็บไม่มาก เขาเลือกปล่อยไว้ คิดว่าเศษแก้วน่าจะหลุดออกเอง แต่หลังจากหนึ่งสัปดาห์ แผลบวมขึ้นจนเดินลำบาก แพทย์พบเศษแก้วฝังลึกและเกิดการอักเสบรุนแรง ต้องผ่าตัดเอาเศษแก้วออกและพักฟื้นหลายวัน บทเรียน: เศษแก้วมีความแหลมคมและมักไม่หลุดออกเอง จำเป็นต้องกำจัดอย่างปลอดภัยตั้งแต่แรก
    3. ผู้ป่วยเบาหวานกับตะปูเล็ก
      หญิงวัย 55 ปีซึ่งป่วยเบาหวาน เดินเหยียบตะปูเล็ก ๆ ที่สนิมขึ้น เธอเพียงล้างแผลและปิดไว้ ไม่ไปพบแพทย์ ภายในไม่กี่วันเกิดการติดเชื้อรุนแรงจนลุกลาม ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และฉีดยากระตุ้นบาดทะยัก บทเรียน: ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูง ควรไปพบแพทย์ทันทีเมื่อเกิดแผลจากสิ่งแปลกปลอม โดยเฉพาะวัตถุสกปรกหรือเป็นสนิม

    การเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านี้

    • อย่าประเมินค่าต่ำเกินไป: สิ่งแปลกปลอมที่เล็กจนแทบมองไม่เห็นก็อาจเป็นต้นเหตุของการติดเชื้อรุนแรงได้
    • อย่ารอให้หลุดออกเองเสมอไป: ในหลายกรณี สิ่งแปลกปลอมไม่ได้เคลื่อนออกมาเอง แต่กลับฝังลึกขึ้น
    • เชื่อสัญญาณของร่างกาย: หากมีอาการเจ็บมากขึ้น แดง ร้อน หรือบวม ต้องถือเป็นสัญญาณอันตราย
    • อย่าลืมเรื่องบาดทะยัก: โดยเฉพาะกรณีถูกตะปู เศษโลหะ หรือวัตถุที่สกปรกแทง

    ข้อแนะนำเชิงปฏิบัติ

    1. ตรวจบาดแผลทันที
      หลังเกิดอุบัติเหตุ ควรตรวจดูว่ามีสิ่งแปลกปลอมฝังอยู่หรือไม่ แม้บาดแผลจะเล็กแค่ไหนก็ตาม
    2. อย่าพยายามเอาออกด้วยวิธีรุนแรง
      เช่น ใช้ของมีคมขุดหรือบีบแรง ๆ เพราะอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมฝังลึกกว่าเดิม
    3. สังเกตอาการทุกวัน
      หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บมากขึ้น บวม หรือมีหนอง ให้ไปพบแพทย์โดยไม่ชักช้า
    4. ฉีดวัคซีนบาดทะยักตามกำหนด
      เพื่อป้องกันโรคร้ายแรง โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานกลางแจ้งหรือเสี่ยงต่อการถูกของมีคมบาด
    5. ให้ความรู้กับครอบครัว
      พ่อแม่ควรสอนลูกให้บอกทันทีเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในผิวหนัง และไม่ควรซ่อนหรือเพิกเฉย

    สรุปส่งท้าย

    สิ่งแปลกปลอมที่ฝังอยู่ในผิวหนังไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างที่หลายคนคิด การเพิกเฉยอาจนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรง การอักเสบเรื้อรัง หรือแม้กระทั่งภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่อชีวิตได้ การใส่ใจ ตรวจสอบ และรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรกคือการป้องกันที่ดีที่สุด

    การดูแลเพียงเล็กน้อยในช่วงแรก อาจช่วยหลีกเลี่ยงการรักษาที่ซับซ้อนและยาวนานในอนาคต และยังทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น

    การฉีดวัคซีน ประโยชน์สำคัญต่อสุขภาพของบุคคลและชุมชน คำแนะนำในการเตรียมตัวไปเที่ยวพักร้อนช่วง ฤดูร้อน อันตรายจากการ นอน หลับโดยเปิดไฟต่อเนื่องต่อสุขภาพสมอง อันตรายจากการเพิกเฉยต่อสิ่งแปลกปลอมที่ฝังอยู่ใน ผิว หนัง
    admin
    • Website

    Related Posts

    องค์ประกอบทางเคมีในบุหรี่ไฟฟ้าและผลกระทบต่อ ปอด

    September 14, 2025

    การช่วยเหลือเด็กที่ถูก ผึ้ง ต่อย

    September 12, 2025

    วิธีปลอดภัยในการเอาต่อ ผึ้ง ที่ติดอยู่ในผิวหนังออก

    September 11, 2025
    Leave A Reply Cancel Reply

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.