Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    A Bun In The Oven
    • Home
    • ข่าวสารล่าสุด
    • ความบันเทิง
    • สุขภาพ
    A Bun In The Oven
    ความบันเทิง

    อะไรทำให้เกิดอาการ ท้องผูก ทำความเข้าใจสาเหตุ

    adminBy adminJune 24, 2025Updated:June 24, 2025No Comments2 Mins Read

    อาการ ท้องผูก คือภาวะที่บุคคลมีความลำบากในการขับถ่าย และมีความถี่ในการขับถ่ายน้อยกว่าปกติ โดยทั่วไปแล้ว หากมีการขับถ่ายน้อยกว่าสามครั้งต่อสัปดาห์ ถือว่าเป็นอาการท้องผูก ซึ่งอาการนี้อาจทำให้รู้สึกไม่สบาย ท้องอืด หรือแม้กระทั่งปวดท้อง แล้วอะไรเป็นสาเหตุของอาการท้องผูก และจะป้องกันได้อย่างไร? นี่คือคำอธิบายโดยละเอียด

    สาเหตุของอาการท้องผูก

    อาการท้องผูกสามารถเกิดจากหลายปัจจัย ตั้งแต่พฤติกรรมการใช้ชีวิต ไปจนถึงภาวะทางการแพทย์บางประการ โดยมีสาเหตุที่พบบ่อยดังนี้:

    1. รับประทานใยอาหารไม่เพียงพอ
      ใยอาหารมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการย่อยอาหารที่ดี ช่วยเพิ่มปริมาณและทำให้อุจจาระนุ่ม หากรับประทานอาหารที่มีใยน้อย เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืช และถั่ว อาจทำให้อุจจาระแข็งและขับถ่ายยาก
    2. ดื่มน้ำน้อยเกินไป
      เมื่อร่างกายขาดน้ำ จะดึงน้ำกลับจากของเสียในลำไส้ ทำให้อุจจาระแห้งและแข็ง การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วจึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างราบรื่น
    3. ขาดการออกกำลังกาย
      การใช้ชีวิตแบบไม่เคลื่อนไหวหรืออยู่กับที่มากเกินไป อาจทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง การออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดิน โยคะ หรือว่ายน้ำ จะช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ทำงานดีขึ้น
    4. กลั้นอุจจาระเป็นประจำ
      การกลั้นอุจจาระเมื่อรู้สึกอยากขับถ่าย จะทำให้ลำไส้ดูดซึมน้ำจากอุจจาระ ทำให้อุจจาระแข็งและขับถ่ายยาก หากเกิดบ่อยครั้ง ร่างกายอาจ “ลืม” การส่งสัญญาณว่าควรขับถ่าย ทำให้ปัญหา ท้องผูก รุนแรงขึ้น
    5. ผลข้างเคียงของยา
      ยาบางชนิดสามารถทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ เช่น:
    • ยาแก้ปวด (โดยเฉพาะกลุ่มโอปิออยด์)
    • ยาลดกรดที่มีอะลูมิเนียมหรือแคลเซียม
    • ยาต้านซึมเศร้า
    • อาหารเสริมธาตุเหล็ก
    • ยารักษาความดันโลหิตสูง
      หากสงสัยว่าอาการท้องผูกเกิดจากยา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่น
    1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
      การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ขณะตั้งครรภ์ รอบเดือน หรือวัยหมดประจำเดือน อาจส่งผลต่อการทำงานของลำไส้ เช่น ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์จะทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวช้าลง
    2. โรคหรือภาวะทางการแพทย์บางชนิด
      บางโรคอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกเรื้อรัง เช่น:
    • กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (IBS)
    • โรคเบาหวาน
    • ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ
    • โรคทางระบบประสาท เช่น พาร์กินสัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง

    วิธีป้องกันอาการท้องผูก

    เพื่อหลีกเลี่ยงอาการท้องผูก สามารถทำตามคำแนะนำดังนี้:

    1. เพิ่มการบริโภคใยอาหาร
      รับประทานอาหารที่อุดมด้วยใยอาหาร เช่น:
    • ผลไม้: แอปเปิ้ล สาลี่ มะละกอ กล้วย
    • ผัก: บรอกโคลี ผักโขม แครอท
    • ธัญพืช: ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลเกรน ข้าวกล้อง
    • ถั่ว: อัลมอนด์ ถั่วแดง
      ปริมาณใยอาหารที่แนะนำต่อวันอยู่ที่ 25–30 กรัม
    1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
      ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยให้อุจจาระนุ่ม หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ
    2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
      การทำกิจกรรมทางกาย เช่น เดิน โยคะ หรือว่ายน้ำ วันละ 30 นาที จะช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
    3. อย่ากลั้นอุจจาระ
      ควรเข้าห้องน้ำทันทีเมื่อรู้สึกอยากขับถ่าย เพื่อป้องกันไม่ให้อุจจาระแข็ง
    4. จัดการความเครียด
      ความเครียดส่งผลต่อการย่อยอาหาร ลองใช้เทคนิคผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ หรือการฝึกหายใจ
    5. พิจารณาโปรไบโอติก
      อาหารหรืออาหารเสริมที่มีโปรไบโอติก เช่น โยเกิร์ต เทมเป้ หรือกิมจิ ช่วยรักษาสมดุลของแบคทีเรียดีในลำไส้

    ปรึกษาแพทย์หากจำเป็น
    หากมีอาการท้องผูกติดต่อกันนานเกินสองสัปดาห์ หรือมีอาการร่วม เช่น ถ่ายเป็นเลือด น้ำหนักลด หรือปวดอย่างรุนแรง ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมินเพิ่มเติม

    การตรวจวินิจฉัยเมื่อมีอาการท้องผูกเรื้อรัง

    หากคุณมีอาการท้องผูกที่ไม่ดีขึ้นหลังปรับพฤติกรรม หรือมีอาการร่วมที่น่าสงสัย แพทย์อาจพิจารณาทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งรวมถึง:

    1. ซักประวัติและประเมินอาการโดยละเอียด

    • ความถี่ในการขับถ่าย
    • ลักษณะของอุจจาระ
    • พฤติกรรมการกิน การดื่มน้ำ และการออกกำลังกาย
    • ประวัติการใช้ยาและโรคประจำตัว

    2. การตรวจร่างกายและทวารหนัก

    เพื่อดูว่ามีก้อนเนื้องอก ริดสีดวง หรือกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานผิดปกติหรือไม่

    3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

    เช่น ตรวจเลือดเพื่อตรวจหาภาวะไทรอยด์ต่ำ หรือระดับน้ำตาลในเลือดในกรณีสงสัยเบาหวาน

    4. การตรวจพิเศษอื่นๆ ตามข้อบ่งชี้

    • การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy): ในกรณีที่มีเลือดปนอุจจาระ น้ำหนักลด หรืออายุเกิน 50 ปี เพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น มะเร็งลำไส้หรือติ่งเนื้อ
    • การเอกซเรย์หรืออัลตราซาวด์ช่องท้อง: เพื่อดูการอุดตันหรือโครงสร้างที่ผิดปกติของลำไส้
    • การวัดเวลาการเคลื่อนตัวของลำไส้ (Colonic transit study): ตรวจว่าการเคลื่อนตัวของลำไส้ช้ากว่าปกติหรือไม่

    กรณีที่ควรรีบพบแพทย์ทันที

    อาการท้องผูกอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงได้ในบางราย หากมีอาการเหล่านี้ร่วม ควรรีบพบแพทย์:

    • ถ่ายเป็นเลือดหรืออุจจาระมีสีดำคล้ำ
    • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
    • ปวดท้องอย่างรุนแรงหรือเรื้อรัง
    • คลำเจอก้อนบริเวณท้อง
    • ท้องผูกสลับท้องเสียเป็นประจำ
    • มีประวัติมะเร็งลำไส้ในครอบครัว

    มุมมององค์รวมในการจัดการอาการท้องผูก

    เนื่องจากอาการท้องผูกเป็นปัญหาที่เกิดจากหลายปัจจัย การจัดการจึงควรอิงแนวทางแบบองค์รวม ซึ่งรวมถึง:

    • การแพทย์แผนปัจจุบัน: ปรับพฤติกรรม ตรวจวินิจฉัย หรือต้องใช้ยาระบายเมื่อจำเป็น
    • การแพทย์แผนไทยหรือทางเลือก: เช่น การนวดท้อง สมุนไพรที่ช่วยระบาย (เช่น มะขามแขก, ฝักคูน)
    • สุขภาพจิต: การผ่อนคลายอารมณ์ การฝึกสมาธิ และการลดความเครียด ช่วยให้ลำไส้ทำงานสมดุลยิ่งขึ้น

    ตัวอย่างคำแนะนำแบบง่ายสำหรับประชาชน: วิธีป้องกันอาการท้องผูกในชีวิตประจำวัน

    เพื่อให้เข้าใจและนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน นี่คือตัวอย่างแนวทางการป้องกันอาการท้องผูกที่สามารถปรับใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย:


    กินอย่างฉลาด

    • เพิ่มใยอาหารจากผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี
      → เช่น กล้วย ข้าวโอ๊ต แครอท ฟักทอง ขนมปังโฮลวีต
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่แปรรูปสูง เช่น ขนมอบ ชีส เบเกอรี่
    • ดื่มน้ำสะอาด 6–8 แก้วต่อวัน โดยเฉพาะในช่วงเช้า

    ขยับตัวให้มากขึ้น

    • ลุกขึ้นยืนหรือเดินทุก 30–60 นาทีหากทำงานหน้าคอมพิวเตอร์
    • ออกกำลังกายเบาๆ วันละอย่างน้อย 20–30 นาที
      → เดินเร็ว โยคะ ขี่จักรยาน หรือว่ายน้ำล้วนดีต่อระบบลำไส้

    ขับถ่ายให้เป็นนิสัย

    • ฝึกเข้าห้องน้ำทุกเช้าแม้ยังไม่รู้สึกอยากถ่าย
    • อย่ากลั้นเมื่อมีความรู้สึกอยากขับถ่าย
    • จัดท่านั่งให้ถูกต้อง: วางเท้าบนม้านั่งเล็กๆ เพื่อให้เข่าอยู่สูงกว่าสะโพก ช่วยให้ง่ายต่อการเบ่ง

    ดูแลสุขภาพจิต

    • ลดความเครียดด้วยการนอนหลับให้พอ ทำสมาธิ หรือฟังเพลงผ่อนคลาย
    • หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ก่อนนอน
    • หากรู้สึกวิตกกังวล เครียด หรือซึมเศร้าจนส่งผลต่อพฤติกรรม ควรขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ

    ใช้ยาระบายอย่างระวัง

    • หากจำเป็นต้องใช้ ควรเลือกยาระบายแบบอ่อนโยน เช่น ยาระบายเพิ่มปริมาตร (bulk-forming)
    • หลีกเลี่ยงยาระบายชนิดกระตุ้นที่ใช้ต่อเนื่อง เพราะอาจทำให้ลำไส้ทำงานได้น้อยลงในระยะยาว
    • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง

    สโลแกนรณรงค์ง่ายๆ

    • “กินผัก ดื่มน้ำ ขยับร่างกาย ขับถ่ายสบายทุกวัน”
    • “อย่ารอให้หนักท้อง ก่อนจะใส่ใจลำไส้ของคุณ”
    • “ขับถ่ายดี สุขภาพก็สดใสทุกเช้า”
    • “เบ่งทุกเช้า ดีกว่ารอจนต้องหาหมอ”

    บทส่งท้าย

    การป้องกันท้องผูกไม่ได้ต้องใช้เวลาเยอะหรือวิธีซับซ้อน เพียงแค่ปรับพฤติกรรมเล็กน้อยอย่างต่อเนื่อง เช่น กินผักให้เพียงพอ ดื่มน้ำสม่ำเสมอ และลุกขยับตัวบ่อยๆ ก็ช่วยให้ระบบขับถ่ายกลับมาเป็นปกติได้

    สุขภาพลำไส้คือพื้นฐานของสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ การใส่ใจเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เพื่อความสบาย แต่เพื่อสุขภาพระยะยาวที่มั่นคงและคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกวัย

    อะไรทำให้เกิดอาการ ท้องผูก ทำความเข้าใจสาเหตุ
    admin
    • Website

    Related Posts

    ผักเทมปุระ (ญี่ปุ่น) – ผัก ชุบแป้งทอดกรอบ อร่อยลงตัว

    September 18, 2025

    องค์ประกอบทางเคมีในบุหรี่ไฟฟ้าและผลกระทบต่อ ปอด

    September 14, 2025

    การช่วยเหลือเด็กที่ถูก ผึ้ง ต่อย

    September 12, 2025
    Leave A Reply Cancel Reply

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.